ดูตัวเอง...วัดป่ามัชฌิมวาส



...ดูตัวเอง...ดูตัวเอง...ดูตัวเอง...



ทริปนี้ได้มาสิ้นสุดที่...วัดป่ามัชฌิมวาส โดยที่ไม่ได้มีความตั้งใจหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าแต่ประการใด และกำลังงง...งง...งงกับการเดินทางว่าจากโขมเจียมจะไปที่กาฬสินธุ์ได้อย่างไรกันแต่แล้วฟ้าก็ส่งหนุ่มน้อยผู้ใจดี "ครูต่อ" ที่กำลังนั่งรออยู่ที่คิวรถตู้โขงเจียมที่พอรู้ว่าผมกำลังปรึกษากับคนขับรถตู้ถึงการต่อรถไปกาฬสินธุ์อยู่เพราะไม่มีรถโดยสารบริการจากอุบลตรงไปกาฬสินธุ์อย่างแน่นอน...ครูต่อก็เสนอว่า
"ผมจะเดินทางไปสารครามอยู่พอดี เดินทางไปกับผมก็ได้จากสารคามก็สามารถต่อรถตู้ไปได้ไม่ยากเพราะระยะทางไม่ไกลกันเท่าไรแต่เนื่องจากกว่าจะเดินทางไปถึงสารครามก็ค่ำเกินกว่าจะต่อรถไปได้...คงจะต้องหาที่พักแถวสถานีขนส่งนะครับ...แล้วผมจะพาไปหาที่พักให้ก็แล้วกัน"...ลุงติ๊กรู้สึกอึ้งไปนิดหนึ่งกับคุณครูใหม่ป้ายแดงที่มีจิตอาสามีน้ำใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างจริงจัง...ขอบใจด้วยใจจริง

แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น...ลุงติ๊กก็ได้มีโอกาสมากราบหลวงพี่จอน อดีตรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน...หลังจากหลวงพี่พามากราบหลวงพ่อเมืองเจ้าอาวาสแล้วก็พาไปที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าพร้อมได้แนะนำสถานที่น่าสนใจภายในวัด ทำให้ลุงติ๊กได้มีโอกาส..."หยุดพัก
กายหยุดพักใจ"...ในสถานที่แสนสงบเงียบอย่างแท้จริง...หากแต่ก็รับรู้ว่า "จิตเราไม่ได้สงบไปตามสิ่งแวดล้อมเลย" ได้แต่ครุ่นคิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาและมีท่าทีว่าจะไม่หยุดคิดด้วยซ้ำไป

โบสถ์กลางน้ำ...ร่มรื่น เงียบสงบ ลุงติ๊กถือโอกาสมาเดินรอบโบสถ์และสวดมนต์เช้าเย็น...ในขณะที่เดินรอบๆ โบสถ์ก็จะมีเพื่อนเดินเล่นด้วย เช่น กระรอก กระต่าย นกยูง บรรดาไก่ตัวน้อยใหญ่ บางครั้งก็ต้องเดินเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดความตกใจกับบรรดาสัตว์เหล่านั้น...หน้าโบสถ์จะมีต้นศรึมหาโพธิ์ (เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้) นำมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย...ระหว่างที่เดินวนรอบโบสถ์ก็จะต้องเดินผ่านใต้ต้นโพธิ์ก็ได้เห็นถึงสัจธรรม "ใบโพธิ์ที่ร่วงอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้นมีทั้งใบเล็ก ใบน้อย ใบใหญ่ และใบใหญ่มาก ทำให้ระลึกนึกถึง "ความเป็นจริงของชีวิตนี้" เกี่ยวกับการจากไปของคนเราที่มีตั้งแต่เด็กแรกเกิด...เด็กน้อย...วัยรุ่น...วัยหนุ่ม และวัยสูงอายุอันสมควรแก่วัยแล้ว"

"อาจารย์ใหญ่" เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรจะต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชมเพื่อการพิจารณาให้เห็นถึง "ขันธ์ 5" เพื่อคลายจางจากการยึดติด "ตัวกูของกู" ให้เบาบางลง...แน่นอนครับว่า "สิ่งที่เห็นก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้จิตเรารู้แจ้งและปล่อยวางได้ในทันทีทันใด ก็ด้วยเพราะเราสะสมกิเลสไว้มาเนินนานกว่าสองพันหกร้อยกว่าปีหากจะเริ่มนับจากสมัยพุทธกาล หากแต่สิ่งที่ประเสริฐสุดแล้วก็คือการได้เริ่มต้นที่จะแสวงหาความเป็นจริงอันประเสริฐกับชีวิตพร้อมกับการก้าวย่างไปกับ "อริยสัจสี่" เพื่อรู้จักกับ "ทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์"

ที่สำคัญคือ..."ทำให้จริง ทำให้ถูก ทำให้ถึง"...คำสอนของหลวงพ่อเมืองที่เทศน์สั่งสอนในเช้าวันพระให้กับชาวบ้าน ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากที่ได้เข้าวัดตักบาตรทุกวันพระเป็นประจำ

อีกตอนหนึ่งโดยมีใจความที่สรุปได้ว่า..."กิเลส มีพลัง มีอำนาจ และมีความเด็ดเดี่ยว ดังนั้นเราก็ต้องฝึกฝนปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตใจเราตั้งมั่นเหมือนการชาร์จแบตเพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลสได้อย่างมีพลังอำนาจเช่นเดียวกัน"...สาธุ

สุดท้ายที่ "พิพิธภัณฑ์หลวงตามหาบัว" ลุงติ๊กชื่นชอบกับคำสอนของหลวงตาที่ทำให้เกิดความเพียรในการฝึกฝนปฏิบัติธรรม

"อย่าเห็นสิ่งใดว่า ประเสริฐยิ่งกว่าธรรม
อันเป็นของประเสริฐ ซึ่งจะเกิดขึ้นในใจ
เรามาปฏิบัติธรรม ต้องยึดธรรม มาเป็นหลักใจอยู่เสมอ
ศาสนธรรม คือ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน"
พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
 

...อาจารย์ใหญ่...

 ดูตัวเอง...ดูตัวเอง...ดูตัวเอง

นกยูงถึงจะขาจะผิดปกติ...แต่ก็ยังงามสง่าทุกท่วงท่า

นี่คือธรรมชาติที่สมดุลที่วัดป่ามัชฌิมวาส