เชฟหมู...เชฟหัวใจแกร่ง



กว่าหนึ่งปีที่เชฟหมูต้องอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีก
ใครว่าที่ไหนรักษาให้หายได้ก็เสาะแสวงหาไปทุกที่
เงินเก็บสะสมมาทั้งชีวิตก็หมดไปกับการรักษาตัวและการเดินทาง
แต่สุดท้ายอาการก็ไม่ดีขึ้นแถมเงินเก็บก็หมดไม่เหลือเลย

ลุงติ๊กไม่ได้รู้จักเชฟหมูมาก่อน
หากแต่ได้รับการแนะนำจากอาจารย์อุ้ยโดยบังเอิญ
ด้วยที่เชฟหมูเคยเดินทางไปเข้ารับการรักษาตัวที่เชียงใหม่
ก็เลยทำให้เราสามคนได้รู้จักกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
เพราะเราทั้งสามคนต่างก็อยู่ในสภาวะหลอดเลือดแตกในสมอง

ลุงติ๊กได้มีโอกาสพบเจอเชฟหมูเป็นครั้งแรก
ก็เห็นชายร่างใหญ่ผิวคล้ำๆ ค่อยๆ เดินเข้ามาหา
ลองนึกถึงภาพ "นกเพนกวินที่เดินเตาะแตะ"
ทำให้ลุงติ๊กนึกถึงภาพตัวเองที่ต้องหัดเดินเมื่อตอนเป็นอัมพฤกษ์ใหม่ๆ

หลังจากที่ได้พูดคุยแนะนำตัวเพื่อที่ทำให้เราต่างรู้จักกันมากขึ้น
ก็ทำให้ลุงติ๊กทราบว่า...เชฟหมูเพิ่งตัดสินใจขายโน๊ตบุ๊ค
เพื่อนำเงินไปพบหมอและเช็คร่างกายเตรียมความพร้อม
ในการสัมภาษณ์งานห้องอาหารในโรงแรมที่เกาะสมุยในอีกสองเดือนข้างหน้า
ลุงติ๊กถามคำถามเชฟหมูที่เรียบง่ายว่า..."ถ้าหมูเป็นเจ้าของห้องอาหาร
แล้วเห็นสภาพของหมูในปัจจุบันนี้แล้วคิดว่าจะรับหมูเข้าทำงานหรือปล่าว?"
"__________"......ใครๆ ก็คงจะตอบคำถามนี้ได้อย่างแน่นอน

แต่วันนี้..."เชฟหมูได้กลับมาทำงานแล้วครับ"
ดูแลรับผิดชอบการบริหารห้องอาหารโรงแรมระดับ 4ดาวที่ภูเก็ต
ในสภาพความพร้อมของร่างกายเกือบ 90% ในการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว
อีกทั้งความสามารถทางด้านสมองก็ตอบสนองในการทำงานได้เป็นอย่างดี
และได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของกิจการและผู้ร่วมงาน

นี่คือคำยืนยันว่า "หลักธรรมชาติสมดุล" ที่ช่วยทำให้ลุงติ๊ก และเชฟหมู
สามารถฟื้นฟูร่างกายจากสภาพอัมพฤกษ์ครึ่งซีกให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ดีมากจนถึงขั้นกลับมาทำงานได้เลยทีเดียวครับ